CSD/GPRS/EDGE
����������� เส้นทางการรับส่งข้อมูลของฝั่ง GSM เครือข่าย GSM มีมาตรฐานการพัฒนาที่ชัดเจนในเรื่องการให้บริการของทางฝั่ง Data ที่นับวันยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นๆทุกวัน วันนี้เราก็เลยมาพาไปรู้จักกับวิวัฒนาการของบริการข้อมูลทางฝั่ง GSM กัน GSM ที่ว่าเนี่ยเป็นชื่อระบบนะคะ ไม่ใช่ชื่อผู้ให้บริการอย่างที่เราติดปากเรียกกัน เป็นระบบที่คนไทยเกิน 80% ใช้อยู่ ซึ่งระบบGSM Digital นี้ไม่ได้มีเพียงการผสมคลื่นความถี่ระหว่างคลื่นเสียงกับคลื่นวิทยุเพียงอย่างเดียว แต่จะมีการเข้ารหัส Digital ด้วย จึงทำให้ระบบ GSM เป็นระบบที่รองรับระบบเทคโนโลยีการส่งข้อมูลต่างๆที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้
��������� CSD การให้บริการด้านข้อมูลของตลาดทางฝั่ง GSM นั้นเริ่มมาจากยุคของ CSD ซึ่งการทำงานนั้นจะเป็นการแปลงสัญญาณเสียงมาเป็นข้อมูล CSD(Circuit Switched Data) เป็นคลื่นสัญญาณตัวเดียวกันกับคลื่นของโทรศัพท์มือถือที่เราใช้ในการพูดคุยกันตามปกติ มีความเร็วอยู่ที่ 9.6 kbps
��������� ในการใช้งานแต่ละครั้งก็จะเหมือนการคุยโทรศัพท์ ถ้าเทียบเป็นท่อ (bandwidth) ผู้ให้บริการก็จะมีหลายๆท่อให้ใช้บริการ เวลาจะใช้ CSD แต่ละครั้งเราก็จะครอบครองท่อนั้นเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นจุดเด่นสำหรับ CSD ที่ได้เปรียบการบริการอื่นๆตรงที่ไม่ต้องแชร์กับใคร
��������� ความเร็วในการวิ่งขึ้นอยู่กับเราเพียงคนเดียว แต่ข้อเสียหลักๆก็คือ การส่งข้อมูลนั้นช้าไปสำหรับจะส่งข้อมูล Data เหมาะที่จะใช้กับข้อมูลเสียง (Voice) หรือการสนทนามากกว่า GPRS GPRS (General Packet Radio Services) เป็นเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ สามารถรองรับการให้บริการที่เพิ่มมากขึ้นกว่าระบบ CSD และ SMS เดิมได้มีความเร็วสูงขึ้นถึง 10 เท่า มีการทำงานในแบบ Packet Switching ส่งข้อมูลหลายๆตัวไปในช่องเดียวและเชื่อมต่อตลอดเวลา (Always On-Always Connected) มีความเร็วประมาณ 40 - 171.2 Kbps ในช่วงเวลาที่วิ่งทั้ง 8 ช่วง timeslot GPRS ทำให้เกิดการให้บริการหลายๆด้านเพิ่มขึ้นมา
�������� เช่น� การเข้าถึง Internet �การรับส่งข้อมูล, การดาวน์โหลดต่างๆ ,การสนทนาโต้ตอบแบบ Interactive (Live Chat) รวมไปถึงการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน GPRS ถือว่าได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน นอกจากการพัฒนาทางเครือข่ายแล้วคงจะต้องเป็นผลมาจากการพัฒนาตัวเครื่อง (Handset) เองด้วยที่พัฒนากันอย่างไม่หยุดยั้ง มีโทรศัพท์จำนวนมากที่รองรับการให้บริการ GPRS นี้ เป็นการย่อโลกให้เล็กลง ทำให้เราสามารถสัมผัสได้ถึงความสะดวกสบาย
�������� การเข้าถึงสื่อต่างๆและมัลติมีเดียได้อย่างรวดเร็วและทันเหตุการณ์ EDGE EDGE (Enhanced Data Rates for Global Evolution) เป็นทางเบี่ยงก่อนเข้ายุค 3G (Third generation) เป็นเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจาก GPRS โดยบริษัท อีริคสัน เมื่อปีพ.ศ.2538 นักวิชาการหลายๆคนออกมาบอกว่า EDGE ถือเป็นทางตันของฝั่ง GSM ทาง Data ก่อนที่จะก้าวไปสู่ 3G กันอย่างจริงๆจังๆ ซึ่งผู้ให้บริการต่างๆจะมาพัฒนาต่อไม่ได้แล้ว แต่ต้องวางระบบ 3G กันใหม่กันทั้งระบบ Edge เป็น Packet Switchingเช่นเดียวกับ GPRS ลักษณะการทำงานก็เหมือนกัน เพียงแต่ EDGE จะมีการซอยช่องสัญญาณให้ถี่ๆลง ในแต่ละการเชื่อมต่อจะวิ่งได้หลายๆช่อง ทำให้มีความเร็วสูงขึ้น มีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 473.6 Kbps ซึ่งปัจจุบันในเมืองไทยก็มีใช้จริงแล้วในบางเขตพื้นที่ ส่วนในโลกเราก็มีใช้อยู่ราวๆ 23 ประเทศ
�������GPRS และ Edge จะมีแยกลงลึกลงไปอีกเป็น Class ความแตกต่างของแต่ละคลาสนั่นก็คือความเร็ว ซึ่งมีผลมาจากการเปิดช่องสัญญาณในการดาวน์โหลดหรืออัพโหลดซึ่งถ้ายิ่งเปิดช่องสัญญาณมากก็จะยิ่งคูณความเร็วขึ้นไป GPRS Class GPRS Class นั้นเป็นคุณสมบัติเฉพาะของมือถือแต่ละรุ่น ซึ่งเอาไว้บอกถึงความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดที่มือถือเครื่องนั้นสามารถทำได้ ซึ่งการเขียนบอก Class ของมือถือนั้นมีอยู่ 2 แบบคือ - แบบแรกจะบอกเลยว่ามือถือเครื่องนั้นเป็น GPRS ที่อยู่ใน Class ไหน ซึ่งปกติแล้วจะมีอยู่ทั้งหมด 12 Class (1-12) โดยดูง่ายๆ คือ ถ้า Class ยิ่งมาก ความเร็ว ในการรับ-ส่งข้อมูลก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปนั่นเอง เช่น Class 10 ก็จะให้ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงกว่า Class 8 - แบบที่สองคือบอกเป็นจำนวนของ Time-Slot โดยก่อนอื่นที่คุณควรทราบคือใน 1 ความถี่ของระบบ GSM จะมีทั้งหมด 8 Time-Slot ซึ่งในการโทรเข้าโทรออกปกต ิจะใช้เพียงแค่ 1 Time-Slot เท่านั้น (ต่อ 1 หมายเลข) ซึ่งความสามารถในการรับข้อมูล (DownLink?) และการส่งข้อมูล (UpLink?) จะเขียนอยู่ในรูปของตัวเลขที่นำมาบวกกันเช่น 3+1 หรือ 4+2 ซึ่งเลขตัวแรกคือ DownLink? ส่วนเลขตัวหลักคือ UpLink? นั่นเอง
�
�
������� ตัวอย่างเช่น��� หากในคุณสมบัติระบุไว้ว่า GPRS 4+2 (DownLink?=4, UpLink?=2) ก็จะเทียบได้กับ GPRS Class 10 นั่นเอง
������� ที่ต้องพูดถึงความเร็วในการรับส่งข้อมูล ก็เนื่องมาจากมีความเกี่ยวข้องกับ GPRS Class ซึ่งตัวเลข Class ที่ระบุนั้นเป็นตัวเลขของ Multislot Class (มีตั้งแต่ class 1 ถึง class 12)� เป็นตัวกำหนดอัตราความเร็วสูงสุดของข้อมูลที่สามารถกระทำได้ทั้งการรับและการส่ง ในการเขียนเพื่อระบุค่าจะเขียนเป็น ยกตัวอย่างเช่น 3 + 1 หรือ 2 + 2 โดยตัวเลขแรกแสดงค่าจำนวนของช่องเวลาในการรับข้อมูล (ช่องเวลาอะไรที่โทรศัพท์มือถือสามารถรับข้อมูลได้จากเครือข่าย)
������� ส่วนตัวเลขที่สองแสดงค่าจำนวนของช่องเวลาการส่ง (มีกี่ช่องเวลาที่โทรศัพท์มือถือสามารถส่งข้อมูลได้) ค่า Active Slot สำคัญอย่างไร ? ค่า Active Slot นั้นสำคัญไม่แพ้ค่าอื่น เพราะมันคือค่าที่แสดงจำนวน Time Slot ที่ GPRS Class นั้นๆ สามารถใช้ได้สูงสุดในเวลาหนึ่งๆ
������� สำหรับการทำการรับ และส่งข้อมูลไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นลองมาดูกันที่ Class 10 จะเป็นได้ว่าสามารถรับข้อมูล (DownLink?) ได้สูงสุด 4 Slot และส่งข้อมูล (Uplink) ได้สูงสุด 2 Slot ซึ่งรวมกันแล้วเป็น 6 Slot แต่ทว่าเมื่อมาดูที่ Active Slot จะเห็นว่ามีเพียงแค่ 5 เท่านั้น
������� ดังนั้น��จึงต้องมีการเลือกว่าจะให้ความสำคัญกับการรับข้อมูลหรือการส่งข้อมูลมากกว่ากันแค่ไหน โดยที่รวมกันแล้วต้องมีค่าไม่เกิน 5 Slot (จำนวน Active Slot)
������� เช่น�ถ้าอยากเน้นให้กับการรับข้อมูล ก็อาจจะตั้งค่าให้เป็น 4+1 หรือถ้าหากอยากให้ความสำคัญกับการส่งข้อมูลมากขึ้นก็อาจจะตั้งเป็น 3+2 เป็นต้น�
�������ซึ่งการตั้งค่าเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละเครือข่าย ซึ่งอาจจะกำหนด GPRS Slot ไว้ไม่เท่ากัน อาจจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ให้บริการ ความหนาแน่นของผู้ใช้งานบริเวณพื้นที่นั้น เป็นต้น ซึ่งการพิจารณาการให้ Time-Slot เหล่านี้ ผู้บริการจะคำนึงถึงความคุ้มค่าและความเหมาะสมเป็นสำคัญ
������ สำหรับ Active Slot จะเป็นตัวเลขกำหนดช่องที่อุปกรณ์ GPRS สามารถใช้ได้พร้อม ๆ กัน ทั้งการรับและส่งในการติดต่อสื่อสารนอกจากการระบุในข้างต้นแล้ว ยังมีการระบุเป็น Class A, Class B, Class C อีกด้วย คลาสที่แบ่งเป็น A B C นี้จะบอกความสามารถในการเชื่อมต่อ กับการตัดสัญญาณใน ด้าน Voice หรือการเลือกใช้งาน
������ 1. Class A สามารถใช้ทั้ง 2 ส่วนในเวลาเดียวกันได้เลย สามารถคุยโทรศัพท์ไปด้วยขณะที่ใช้การเชื่อมต่อ
������ 2. Class B เป็นการเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลา ขณะที่เราใช้ Voice เราจะใช้ Data ไม่ได้ แต่การใช้ก็ไม่ได้สิ้นสุดลงทันที แต่เป็นการหยุดชั่วคราวเท่านั้นค่ะ พอเราใช้อีก Voice เสร็จเรียบร้อยแล้ว Data ก็จะกลับมาใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่นเวลาที่เราเชื่อมต่อ GPRS/EDGE แล้วมีสายเข้ามา เราก็สามารถคุยได้จนจบ พอวางสายแล้วการเชื่อมต่อ GPRS/EDGE ก็จะกลับมาใช้ได้ปกติ
������ 3. Class C คลาสซีนี้เราต้องเลือกใช้แค่อันใดอันหนึ่งค่ะ โดยที่ต้องออกจากอันหนึ่งก่อนจึงจะใช้อีกอันได้ GPRS (General Packet Radio Service) เทคโนโลยีโครงข่ายโทรศัพท์ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากพื้นฐานของระบบ GSM โดยเป็นการส่งข้อมูลแบบ Packet ซึ่งนอกจากจะรวดเร็วแล้วยังเป็นการประหยัดต่อผู้ใช้ และเป็นการเพิ่มมาตรฐานระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ให้มีความสามารถส่งข้อมูลผ่านดาต้าแพคเกตได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การดูข้อมูลในอินเทอร์เน็ต และการรับส่งอีเมล์ เป็นต้น
������ * GPRS Class คืออะไร GPRS Class เป็นคุณสมบัติเฉพาะของระดับความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลที่สามารถทำได้ โดยจะมีอยู่ทั้งหมด 12 Class (1-12) หากตัวเลข Class ยิ่งมาก ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลจะยิ่งมากขึ้น จำนวนของ Time-Slot โดยความถี่ของระบบ GSM จะมีทั้งหมด 8 Time-Slot ซึ่งในการโทรเข้าโทรออกปกติจะใช้ 1 Time-Slot (ต่อ 1 หมายเลขโทรศัพท์) ซึ่งการรับข้อมูล (DownLink) และการส่งข้อมูล (UpLink) จะเขียนอยู่ในรูปของตัวเลขที่นำมาบวกกัน เช่น 3+1 หรือ 4+2 (Downlink+Uplink) ซึ่งชุดบวกลบจะแสดงข้อมูลรับ (DownLink) และข้อมูลส่ง (UpLink)
������ GPRS Class 12 คือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ ที่ยังสามารถทำงานต่อได้เลยแม้จะถูกขัดจังหวะด้วยการมีสายเรียกเข้าหรือมีข้อความส่งมาที่ ตัวเครื่องต่าง จาก GPRS Class8 ตรงที่เมื่อถูดขัดจังหวะการเชื่อมต่อจะหลุดทันทีส่วน GPRS Class10 จะทำให้การทำงานหยุดลงแต่ยัง เชื่อมต่ออยู่ ซึ่งจะมีผลให้การดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ช้าลง�
������ EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) เป็นระบบที่พัฒนาต่อเนื่องจาก GPRS (General Packet Radio Service) ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ทำให้โทรศัพท์มือถือสามารถใช้บริการด้านมัลติมีเดียต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น เช่น VDO Conference , Transfer Data การต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตผ่านทางเครื่องโทรศัพท์มือถือ หรือผ่านทางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหรือเครื่องพีซี ระบบ EDGE นี้ใช้ได้ทั้งระบบ GSM และ TDMA ซึ่งเป็นระบบดิจิทัลด้วยกันทั้งคู่ แต่แตกต่างกันเรื่องระบบ Cellular และโครงสร้างภายในบ้างเล็กน้อย โดยที่ EDGE มีความเร็วสูงถึง 236 กิโลบิตต่อวินาทีจึงมากกว่า GPRS ถึง 4 เท่า โดยโทรศัพท์มือถือจะปรับการเชื่อมต่อให้รวดเร็วขึ้นได้ด้วยตัวเองเมื่อเข้าสู่เครือข่าย